ความฝันสิ่งที่เราทุกคนรู้จักกันดีเราทุกคนคงเคยฝันด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นฝันดีหรือฝันร้ายก็ตามซึ่งความฝันนั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งเพราะปัจจุบันนี้
คนเราก็ยังไม่รู้ว่าแน่ชัดว่าความฝันมันเกิดจากอะไร
มีสมมุติฐานมากมายเกี่ยวกับว่า”ความฝันนั้นคืออะไร” ตอนเด็กๆผมเคยลองเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและก็พบว่ามีสมมุติฐานมากมายเกี่ยวกับความฝันของคนเรา
“เกิดจากการทำงานของสมองตอนที่เราหลับ”
“เกิดจากความคิดของเราตอนที่จะนอนว่าคิดเรื่องอะไรก็จะฝันเรื่องนั้น”
“เป็นลางบอกเหตุต่างๆ”
“เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา”
“ใช้ทำนายดูดวง”
จนถึงพวกที่บอกว่าเอาไว้ตีเป็นเลขเด็ดอะไรทำนอง
ผมไม่ได้คลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาของบทความพวกนั้น
เพราะหัวข้อพวกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเอาซะเลย
แต่พอเลื่อนดูไปเลื่อยๆมันก็มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจและ มันเป็นหัวข้อที่ตรงกับที่ผมกำลังหาอยู่พอดี
“ความฝันเป็นทางเชื่อมที่ใช้ติดต่อกับอีกโลกหนึ่งของมนุษย์”ถ้าโตๆกันแล้วไอ้หัวข้อแบบนี้คงไม่มีใครคลิ๊กเข้าไปอ่านแต่ด้วยความที่ว่าตอนนั้นผมอายุแค่7ขวบมันเลยกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก และกดเข้าไปดูอย่างไม่ลังเล
“จริงๆแล้วโลกของเรามีอยู่สองอย่างคือโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝัน ความฝันไม่ได้เกิดจากการที่สมองของเรานั้นสร้างภาพหลอนขึ้นมาในหัวขณะที่เรากำลังหลับแต่เป็นการที่เราได้ข้ามจากโลกแห่งความเป็นจริงไปยังโลกแห่งความฝันซึ่งลักษณะโลกแห่งความฝันของคนแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนๆนั้นโดยคนปกติทั่วไปจิตใจจะไม่มั่งคงทำให้โลกแห่งความฝันเปลี่ยนไปตามสภาพจิตใจของคนๆนั้นยกตัวอย่างเช่นถ้าก่อนนอนเราไม่ได้มีเรื่องอะไรในใจหรือสภาพจิตใจอยู่ในสภาวะปกติโลกแห่งความฝันก็จะมีแต่ความว่างเปล่าหรือก็คือวันนั้นเราจะไม่ฝันถึงอะไรเลยแค่นอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้นมาปกติแต่ถ้าสมมุติเราพึ่งไปดูหนังผีแล้วเราเกิดความกลัวขึ้นมาในใจพอเรานอนโลกแห่งความฝันก็จะเปลี่ยนเป็นไปตามสภาพจิตใจเรานั้นคือความกลัวหรือก็คือเราจะฝันเห็นภาพผีที่อยู่ในจิตใจของเราซึ่งคนเราก็จะเรียกมันว่าฝันร้ายในทางกลับกันถ้าจิตเรานึกถึงเรื่องที่เรามีความสุขพอเรานอนโลกแห่งความฝันก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพจิตใจของเราอีกคือที่คนเราเรียกว่าฝันดี
คนส่วนใหญ่จะมีความฝันอยู่แค่สองอย่างนี้คือฝันร้ายกับฝันดี ซึ่งก็จะมีคนบางคนที่นำฝันเหล่านี้มาตีความไปต่างๆนานาเช่นนำมาดูดวงว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายฝันแบบนี้หมายความว่าแบบนั้นก็กันว่าไป
แต่มันจะมีฝันอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนเราซึ่งเรียกว่าฝันเสมือนจริงมันเป็นฝันที่เกิดไม่ได้เกิดจากตัวเราเองแต่เกิดจากเทพเจ้าที่อยู่ในโลกแห่งความฝันเรียกตัวเราไปยังโลกแห่งนั้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง”
เนื้อหาของบทความตัดจบไปเพียงแค่นี้
ตอนนั้นผมพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาที่เหมือนมีพวกจูนิเบียวเขียนเอาไว้และได้ข้อสรุปในตอนนั้นว่า “ผมจะต้องเป็นผู้ถูกเลือกจากพระเจ้าและไปยังโลกคู่ขนานให้ได้เลย.!!”หลังจากนั้นทุกครั้งที่ผมนอนก็จะพยายามนึกว่าพอหลับไปจะไปตื่นยังอีกโลกหนึ่งและได้ไปยังโลกคู่ขนานในสักวัน ผมรอคอยวันที่พระเจ้าที่จะเรียกตัวผมและมั่นใจว่าผมจะต้องได้ไปยังโลกคู่ขนานอย่างแน่นอนผมเฝ้ารอวันนั้นมาตลอดจนเมื่อผมโตขึ้นจึงได้รู้ว่า มันเป็นเรื่องที่ “โค ตะ ระ ปัญญาอ่อนเลย”ต่างโลกบ้าบออะไรล่ะถึงโตขึ้นแล้วผมจะเป็นพวกโอตาคุชอบดูอะนิเมะแนวต่างโลกแต่ก็ไม่ได้หน้ามืดตามัวจนแยกความเป็นจริงกับการเผ้อฝันไม่ออกน่ะ!
แต่พูดก็พูดเถอะช่วงหลังๆมาเนียะรู้สึกว่าความฝันมันดูสมจริงยังไงไม่รู้เหะทั้งภาพทั้งเสียงนี่แบบคมชัดระดับHDเลยจนบางที่ทั้งที่ฝันอยู่แต่กับไม่รู้ว่าเป็นความฝันแต่เผลอคิดว่าเป็นความจริงไปซะได้นี่สิ เล่นเอาตกใจแทบแย่เลยนึกว่าสัตว์ประหลาดที่เห็นเป็นของจริงซะอีกสงสัยจะเล่นเกมมากเกินไปหน่อยก็เลยฝันว่าตัวเองกำลังสู้กับสัตว์ประหลาดอยู่ เห้อแต่พอตื่นขึ้นมาก็รู้ว่ามันเป็นแค่ความฝันอ่ะนะหรือไม่ก็เพราะโตขึ้นด้วยมั้งเวลาฝันภาพมันเลยคมชัดกว่าตอนเด็กๆหรือว่าเพราะใส่แว่นนอนหว่า? ช่างเถอะไม่ว่าจะยังไงมันก็เป็นแค่ความฝันอยู่ดี แต่ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าทำไมช่วงนี้ถึงฝันบ่อยจังแถมยังฝันถึงแต่สถานที่เดิมๆด้วยสิหรือมันจะเป็นลางบอกเหตุอะไรอย่างนี้รึเปล่า...ลองหามูลจากในอินเตอร์เน็ตดูดีกว่าถึงมันจะเป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ก็เถอะแต่จะให้คิดหาคำตอบเองนี่ก็คิดมาสามวันติดแล้วก็ยังคิดไม่ออกถ้าหาในเน็ตอาจจะเจอข้อมูลอะไรดีๆเข้าก็ได้ ละมั้ง...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น